วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 14

บันทึกผลการเรียนรู้ประจำสัปดาห์
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
วันที่ 27 เมษายน 2558 เวลา 13.10 - 16.40 น.
กิจกรรม / ความรู้ที่ได้รับ
            กิจกรรมในวันนี้คือ การสอบร้องเพลง  โดยเป็นเพลงที่อาจารย์เคยสอนมาในคาบเรียน ซึ่งจะมีทั้งหมด 21 เพลง แต่อาจารย์จะจับฉลากให้ร้องแค่คนละ 1 เพลง  
            เกณฑ์การให้คะแนน ทั้งหมด 5 คะแนน
- ดูเนื้อเพลงได้ หัก 1 คะแนน
- ให้เพิ่อนช่วยร้อง หัก 1 คะแนน
- จับฉลากใหม่ หัก 0.5 คะแนน

รายชื่อเพลง
1. ฝึกกายบริหาร               2. ผลไม้                           3. กินผักกัน
4. ดอกไม้                          5. จ้ำจี้ดอกไม้                  6. ดวงอาทิตย์
7. ดวงจันทร์                      8. ดอกมะลิ                      9. กุหลาบ
10. นกเขาขัน                    11. รำวงดอกมะลิ           12. นกกระจิบ
13. เที่ยวท้องนา               14. แม่ไก่ออกไข่            15.ลูกแมวสิบตัว
16. ลุงมาชาวนา                17. นม                            18. อาบน้ำ
19. แปรงฟัน                      20. พี่น้องกัน                  21. มาโรงเรียน

การนำไปประยุกต์ใช้
           สามารถนำเพลงที่อาจารย์สอนทุกเพลงไปใช้ในการเก็บเด็ก หรือใช้ในการสอนหน่วยต่าง ๆ ในอนาคตได้อย่างดี
การประเมิน
           ตนเอง : มีการเตรียมตัวซ้อมร้องเพลงมาล่วงหน้าก่อนสอบเป็นอย่างดี เข้าเรียนตรงเวลา
           เพื่อน : เตรียมความพร้อมสำหรับการสอบร้องเพลงมา ตั้งใจฟังเพื่อนร้องเพลง ให้ความร่วมมืออย่างดี ทำให้ห้องสนุกสนาน
           อาจารย์ : มีการเคาะจังหวะให้ขณะร้องเพลง ใจดีให้โอกาสนักศึกษา

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 13

บันทึกผลการเรียนรู้ประจำสัปดาห์
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
วันที่ 23 เมษายน 2558 เวลา 13.10 - 16.40 น.

กิจกรรม / ความรู้ที่ได้รับ
             เรื่องที่เรียนในวันนี้  โปรแกรมการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized  Education  Program) 

             แผน IEP คือ แผนการศึกษาที่ร่างขึ้น เพื่อให้เด็กพิเศษแต่ละคนได้รับการสอน และการช่วยเหลือฟื้นฟูให้เหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเด็กแต่ละคน  ด้วยการจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ โดยระบุเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดการใช้แผนและวิธีการวัดประเมินผล  ซึ่งมีบุคคลที่เกี่ยวข้องในการเขียนแผน  ได้แก่ ผู้อำนวยการโรงเรียน ครูประจำชั้น ผู้ปกครอง และอาจมีหมอหรือผู้ช่วยสอนร่วมด้วย
         
            การเขียนแผน IEP  เป็นแผนของเด็ก 1 คน ครูต้องรู้จักเด็กคนนั้นเป็นอย่างดี รู้ว่าเด็กมีปัญหาอะไร รู้นิสัย จุดเด่น จุดด้อย สภาพครอบครัว ได้รับการรักษาจากโรงพยาบาลหรือไม่  รู้ว่าเด็กสามารถทำอะไรได้ และไม่สามารถทำอะไรได้  มีการประเมินพัฒนาการเด็กเป็นระยะ คอยสังเกตและบันทึกผลอย่างสม่ำเสมอ  เพื่อให้ทราบว่าจะต้องเริ่มช่วยเหลือเด็กจากจุดไหน ในทักษะใด แล้วจึงเริ่มเขียนแผน IEP

           IEP ประกอบด้วย
- ข้อมูลส่วนตัวของเด็ก
- เด็กจำเป็นต้องได้รับการบริการพิเศษอะไรบ้าง
- ระบุความสามารถของเด็กในขณะปัจจุบัน
- เป้าหมายระยะยาวประจำปี / ระยะสั้น
- ระบุวัน เดือน ปี ที่เริ่มทำการสอน และคาดคะเนการสิ้นสุดของแผน
- วิธีการประเมินผล

           ประโยชน์ต่อเด็ก  เด็กได้รู้ความสามารถของตนเอง  มีโอกาสได้พัฒนาตามศักยภาพของตนเอง ได้รับการศึกษาและฟื้นฟูอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม

           ประโยชน์ต่อครู  เป็นแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่ตรงกับความสามารถและความต้องการของเด็ก  สามารถเลือสื่อการสอนและวิธีการสอนให้เหมาะกับเด็ก ปรับเปลี่ยนได้เมื่อความต้องการของเด็กเปลี่ยนแปลงไป เป็นแนวทางในการประเมินผลการเรียนและการเขียนรายงานพัฒนาการความก้าวหน้าของเด็ก สามารถตรวจสอบและประเมินได้เป็นระยะ

            ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง  มีส่วนร่วมในการจัดทำแผนการเรียนรายบุคคล เพื่อให้เด็กได้พัฒนาความสามารถได้สูงสุดตามศักยภาพ  รู้ว่าจะฝึกลูกของตนอย่างไร เกิดความร่วมมือในการพัฒนาเด็ฏ มีการติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และใกล้ชิดระหว่างบ้านกับโรงเรียน

            ขั้นตอนการจัดทำแผนการศึกษารายบุคคล
      1. การรวบรวมข้อมูล ทางการแพทย์ ทางการประเมินด้านต่าง ๆ และจากการบันทึกของผู้ปครอง ครู และผู้ที่เกี่ยวข้อง
      2. การจัดทำแผน  
             - ประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง
             - กำหนดจุดมุ่งหมายระยะยาวและระยะสั้น
                   จุดมุ่งหมายระยะยาว ต้องกำหนดให้ชัดเจน แม้จะกว้าง เช่น น้องช่วยเหลือตนเองได้
                   จุดมุ่งหมายระยะสั้น ตั้งให้อยู่ภายใต้จุดมุ่งหมายหลัก ให้เด็กสามารถทำได้ในระยะ 2-3 วัน หรือ 2-3 สัปดาห์ กำหนดให้แคบลง และเป็นเชิงพฤติกรรมเท่านั้น กำหนดขึ้นเพื่อสอนใคร พฤติกรรมอะไร เมื่อไหร่ ที่ไหน และพฤติกรรมนั้นต้องดีแค่ไหน
             - กำหนดโปรแกรมและกิจกรรม
             - ได้รับการรับรองแผนการศึกษารายบุคคลจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
       3. การใช้แผน  ครูจะนำแผนระยะสั้นไปใช้ นำมาทำเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม แยกย่อยขั้นตอนในการสอนให้เหมาะสมกับเด็ก จัดเตรียมสื่อและจัดกิจกรรมการสอน มรการสังเกตเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็ก
       4. การประเมินผล  โดยทั่วไปจะประเมินภาคเรียนละครั้ง หรือย่อยกว่านั้น ควรมีการกำหนดวิธีการประเมิน เกณฑ์การวัดผล ซึ่งการประเมินในแต่ละทักษะหรือแต่ละกิจกรรมอาจใช้วิธีวัดและกำหนดเกณฑ์แตกต่างกัน

            เมื่อเรียนเนื้อหาเสร็จอาจารย์ก็ได้สอนการเขียนแผน IEP และให้จับกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน เพื่อทดลองช่วยกันเขียน IEP กลุ่มละ 1 แผน
 
 การนำไปประยุกต์ใช้
             สามารถนำเอาหลักการเขียนแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล หรือแผน IEP ไปใช้สำหรับการเขียนแผนเพื่อเด็กพิเศษเป็นรายบุคคลในอนาคตได้ รู้ว่าควรจะต้องเขียนแผนไปในลักษณะใด และควรแก้ไขพฤติกรรมของเด็กที่มีความต้องการพิเศษเฉพาะด้านอย่างไร

บรรยากาศภายในห้องเรียน
การประเมิน
            ตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย จดบันทึกเพิ่มเติมตามอาจารย์ ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมอย่างดี
            เพื่อน : ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างดี เมื่อสงสัยต้องส่วนใดก็ถามอาจารย์ คุยกันเสียงดังบ้าง แต่ก็ตั้งใจเรียนดี
            อาจารย์ : มีเกมมาให้เล่นเพื่อให้รู้สึกผ่อนคลายก่อนเข้าเนื้อหาการเรียน อธิบายการเขียนแผนได้อย่างเข้าใจ การเรียนมีความสนุกสนานดีคะ

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 12

บันทึกผลการเรียนรู้ประจำสัปดาห์
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
วันที่ 9 เมษายน 2558 เวลา 13.10 - 16.40 น.

กิจกรรม / ความรู้ที่ได้รับ
          เรื่องที่เรียนในวันนี้ การส่งเสริมทักษะต่าง ๆ ของเด็กพิเศษ
          
          ทักษะพื้นฐานทางการเรียน
          เป้าหมาย  การช่วยให้เด็กแต่ละคนเรียนรู้ได้  มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง  เกิดความรู้สึกว่า "ฉันทำได้"  พัฒนาความกระตือรือร้น อยากรู้อยากเห็น อยากสำรวจ  และทดลอง

          ช่วงความสนใจ  จะต้องมีก่อนการเรียนรู้อื่น ๆ สามารถจดจ่อต่อกิจกรรมในช่วงหนึ่งได้นานพอสมควร  ซึ่งเด็กปกติจะมีช่วงความสนใจเป็นเวลาประมาณ 10-15 นาที  แต่เด็กพิเศษช่วงความสนใจจะสั้นมาก  การเล่านิทานเรื่องที่สั้น ๆ แล้วให้เด็กนั่งฟังจนจบได้  จะทำให้เขารู้สึกว่าเขาทำได้  และค่อยพัฒนาเป็นนิทานเรื่องที่ยาวขึ้นเรื่อย ๆ

          การเลียนแบบ  สำหรับเด็กพิเศษไม่ควรปล่อยให้เขาทำกิจกรรมต่าง ๆ คนเดียว  ควรให้เด็กได้ทำกิจกรรมไปพร้อม ๆ กับเด็กปกติ  เพื่อให้เด็กได้เลียนแบบพฤติกรรมของเพื่อน

          การทำตามคำสั่ง  คำแนะนำ  ครูควรเรียกชื่อเด็กก่อนเสมอ  และเมื่อให้เด็กพิเศษกับเด็กปกติทำกิจกรรมร่วมกัน  ครูควรเรียกชื่อเด็กพิเศษก่อนเด็กปกติ  เพื่อให้เด็กพิเศษได้ตั้งสติในการฟังคำสั่ง  ควรสั่งทีละคำสั่ง  เป็นคำสั่งที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน  ใช้คำพูดให้เด็กได้ยินชัดเจน  ให้เด็กเข้าใจคำศัพท์ของครู

          การรับรู้  การเคลื่อนไหว  เด็กจะได้ยิน เห็น สัมผัส ลิ้มรส ได้กลิ่น แล้วส่งผลถึงการตอบสนองอย่างเหมาะสม

          การควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็ก  โดยให้เด็กทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การกรอกน้ำ ตวงน้ำ ต่อบล็อก ทำงานศิลปะ การเล่นมุมบ้าน การให้เด็กฝึกใช้กรรไกร  ซึ่งกรรไกรที่เหมาะกับเด็กคือกรรไกรหัวมน  การสอนเด็กพิเศษตัดกระดาษควรใช้กระดาษสั้น ๆ ให้ตัดทีเดียวขาด  แล้วค่อยเพิ่มความยาวของกระดาษขึ้นเรื่อย ๆ

         ความจำ  จากการสนทนากับเด็กในเรื่องต่าง ๆ เช่น เมื่อเช้าหนูทานอะไร  การจำตัวละครในนิทาน จำชื่อครู เพื่อนได้ เป็นต้น

          ทักษะคณิตศาสตร์  วิทยาศาสตร์
          การวางแผนการเตรียมพื้นฐานทางวิชาการ  โดยจัดกลุ่มเด็ก  เริ่มต้นเรียนรู้โดยใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ให้งานเด็กแต่ละคนอย่างชัดเจน  ติดชื่อเด็กตามที่นั่ง  ใช้อุปกรณ์ที่เด็กคุ้นเคย  บันทึกการทำกิจกรรมของเด็ก  มีอุปกรณ์ไว้สับเปลี่ยนใกล้มือ  เตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนเด็กมาถึง  ครูพูดในทางที่ดีเสมอ  จัดกิจกรรมให้เด็กได้เคลื่อนไหว  และทำบทเรียนให้สนุก
          วิธีการแจกงาน  ควรให้เด็กเดินมาหยิบด้วยตนเอง  เพื่อฝึกให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง  แต่ถ้าไม่อยากให้ห้องเกิดความวุ่นวาย  ให้ใช้วิธีส่งต่อกัน

บรรยากาศภายในห้องเรียน
การนำไปประยุกต์ใช้
          สามารถนำเอาความรู้เกี่ยวกับหลักพื้นฐานการเรียนและทักษะคณิตศาสตร์  และวิทยาศาสตร์ของเด็กพิเศษ  ไปปรับใช้กับการสอนในอนาคตได้  และได้รู้ว่าเด็กพิเศษมีความต้องการในส่วนใดมากกว่าเด็กปกติ  และควรส่งเสริมเด็กในลักษณะใด

การประเมิน
          ตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา  แต่งกายเรียบร้อย  ตั้งใจเรียน จดบันทึกเพิ่มเติมตามอาจารย์สอน
          เพื่อน : แต่งกายเรียบร้อย  ตั้งใจฟังอาจารย์สอน  มีคุยกันบ้างเล็กน้อย
          อาจารย์ : อธิบายเนื้อหาได้เข้าใจชัดเจน  มีการยกตัวอย่างสถานการณ์ต่าง ๆประกอบการเรียน

วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 11

บันทึกผลการเรียนรู้ประจำสัปดาห์
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
วันที่ 26 มีนาคม 2558 เวลา 13.10 - 16.40 น.
กิจกรรม / ความรู้ที่ได้รับ
           สัปดาห์นี้เป็นการทดสอบความรู้ที่ได้เรียนมาทั้งหมด  โดยเป็นการสอบข้อเขียน จำนวน 5 ข้อ 10 คะแนน  ซึ่งคำถามของการสอบส่วนมากจะเป็นการยกตัวอย่างสถานการณ์ต่าง ๆ แล้วให้อธิบายถึงการแก้ปัญหาและการสอนเด็ก หากต้องเจอกับสถานการณ์นั้น ๆค่ะ

การประเมิน
           ตนเอง : ตั้งใจทำข้อสอบ  มีลืมเนื้อหาที่เรียนไปบ้าง  แต่ก็สามารถทำออกมาได้อย่างเต็มที่แล้วค่ะ
           เพื่อน : ตั้งใจทำข้อสอบกันดีค่ะ มีคุยกันบ้างเล็กน้อยค่ะ แต่งกายเรียบร้อย  เข้าเรียนตรงเวลา
           อาจารย์ : เข้าสอนตรงเวลา ไม่กดดันเด็กขณะสอบ  ข้อสอบออกตรงตามที่อาจารย์เคยสอนค่ะ  

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 10

บันทึกผลการเรียนรู้ประจำสัปดาห์
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
วันที่ 19 มีนาคม 2558 เวลา 13.10 - 16.40 น.
กิจกรรม / ความรู้ที่ได้รับ
            เรื่องที่เรียนในวันนี้ คือ การส่งเสริมทักษะต่าง ๆ ของเด็กพิเศษ

            ทักษะการช่วยเหลือตนเอง  การให้เด็กได้เรียนรู้การดำรงชีวิตโดยอิสระ  ทำกิจวัตรต่าง ๆในชีวิตประจำวันด้วยตนเองให้ได้มากที่สุด  เด็กสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตนเอง

            การสร้างความอิสระ  ให้เด็กได้ช่วยเหลือตนเอง  ได้ทำงานตามความสามารถ  การเลียนแบบการช่วยเหลือตนเองจากเพื่อน  หรือบุคคลที่โตกว่า

            ความสำเร็จเป็นสิ่งสำคัญ  เด็กได้ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง  เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเองและได้เรียนรู้ความรู้สึกที่ดี

            หัดให้เด็กทำเอง  ไม่ช่วยเหลือเด็กเกินความจำเป็น  ห้ามพูดกับเด็กว่า "หนูทำช้า" "หนูยังทำไม่ได้" เด็ดขาด

            จะช่วยเมื่อไหร่  เด็กก็มีบางวันที่ไม่อยากทำอะไร  เบื่อ ไม่สบาย  หลายครั้งที่เด็กจะขอความช่วยเหลือในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปแล้ว  ให้ความช่วยเหลือเฉพาะสิ่งที่เด็กต้องการ  ช่วยเด็กในช่วงทำกิจกรรม

             ลำดับขั้นในการช่วยเหลือตนเอง  แบ่งทักษะการช่วยเหลือตนเองออกเป็นขั้นย่อยให้มากที่สุด  เรียงตามลำดับขั้น  (การย่อยงาน)

             สรุป  ครูต้องพยายามให้เด็ฏทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง  ย่อยงานแต่ละอย่างออกเป็นขั้น ๆ  ความสำเร็จขั้นเล็ก ๆ จะนำไปสู่ความสำเร็จทั้งหมด  และช่วยให้เด็กมีความมั่นใจในตนเอง  พึ่งตนเองได้  และรู้สึกเป็นอิสระ
             หลังจากเรียนเนื้อหาเสร็จอาจารย์ก็ให้ทำกิจกรรม  โดยแจกกระดาษคนละ 1 แผ่น ให้ระบายสีเป็นวงกลมใหญ่ขึ้นเรื่อยตามความพอใจ  และใช้สีได้ตามความชอบ  เมื่อระบายเสร็จก็ให้ตัดกระดาษเป็นรูปวงกลมตามที่ได้ระบายไว้  จากนั้นอาจารย์ก็นำต้นไม้มาติดที่กระดานหน้าห้อง  แล้วให้นักศึกษานำวงกลมของตนเองออกมาติดที่ต้นไม้ทีละคน  
            กิจกรรมนี้เป็นจะช่วยให้ครูทราบว่าเด็กแต่ละคนนั้น  มีภาวะจิตใจเป็นแบบใดจากการระบายสีภาพวงกลมของตนเอง  และยังได้รู้ว่าการอยู่ร่วมกันภายในห้องเรียนนั้นมีลักษณะเป็นแบบใด  จากการนำภาพวงกลมของตนเองออกไปติดที่ต้นไม้หน้าชั้น  ซึ่งกลุ่งของฉันนั้นภาพที่ออกมาทำให้รู้ว่าเราอยู่กันด้วยความเกรงใจซึ่งกันและกัน
ผลงานของฉัน

ผลงานของเพื่อนในห้อง
การนำไปประยุกต์ใช้
             สามารถนำเอาหลักการสอนที่ช่วยให้เด็กสามารถช่วยตนเองได้อย่างเต็มที่ไปปรับใช้ได้ ทั้งในเด็กปกติและพิเศษ  โดยไม่คอยให้ความช่วยเหลือเด็กมากจนเกินไป  และคอยให้การสนับสนุนหากเด็กสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองได้  และยังสามารถนำเอากิจกรรมการระบายสีวงกลมที่อาจารย์ให้ทำไปใช้กับการทำกิจกรรมของเด็กได้

การประเมิน
          ตนเอง : แต่งกายเรียบร้อย  จดบันทึกตามอาจารย์สอน ตั้งใจเรียน  ใก้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม
          เพื่อน : ตั้งใจเรียน  ให้ความร่วมมือในการเรียนและการทำกิจกรรม  มีคุยกันเสียงบางเล็กน้อย
          อาจารย์ : อธิบายเนื้อหา  และยกตัวอย่างเหตุการณ์ได้อย่างเข้าใจ สอนสนุก ไม่เครียดค่ะ

วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 9

บันทึกผลการเรียนรู้ประจำสัปดาห์
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
วันที่ 12 มีนาคม 2558 เวลา 13.10 - 16.40 น.
กิจกรรม / ความรู้ที่ได้รับ
             เรื่องที่เรียนในวันนี้   การส่งเสริมทักษะต่าง ๆ ของเด็กพิเศษ
             ทักษะภาษา   การสอนภาษาธรรมชาติสำหรับเด็ก คือ การสอนภาษาโดยใช้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวในการสอน

             การวัดความสามารถทางภาษา  เข้าใจสิ่งที่ผู้อื่นพูด  ตอบสนองได้ไหม  ถามหาสิ่งที่ต้องการ  บอกเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้

             การออกเสียงผิด / พูดไม่ชัด  การพูดตกหล่น  ใช้เสียงหนึ่งแทนอีกเสียง  พูดติดอ่าง  ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กอนุบาล

             การปฏิบัติของครูและผู้ใหญ่  ไม่สนใจการพูดซ้ำหรือการออกเสียงไม่ชัดของเด็ก  ห้ามพูดกับเด็กว่า "พูดช้า ๆ"  "ตามสบาย"  "คิดก่อนพูด"  อย่าขัดจังหวะขณะเด็กกำลังพูด  ไม่เปรียบเทียบการพูดของเด็กกับคนอื่น  เด็กที่พูดไม่ชัดอาจเกี่ยวข้องกับการได้ยินของเด็ก

             ทักษะพื้นฐานทางภาษา  เด็กจะมีทักษะการรับรู้ทางภาษา  การแสดงออกทางภาษา  การสื่อความหมายโดยไม่ใช้คำพูด  หรือฟัง พูด อ่าน เขียน ตามลำดับ  

             ความรับผิดชอบของครูปฐมวัย  การรับรู้ภาษามาก่อนการแสดงออกทางภาษา  ให้เวลาเด็กในการพูด  ให้เด็กตอบคำถามหรือพูดบ่อยๆ เป็นผู้ฟังที่ดีและโต้ตอบกับเด็กเสมอ (แต่ไม่พูดมากเกินไป) เด็กไม่ได้เรียนรู้ภาษาจากการฟังเพียงอย่างเดียว  ให้เด็กได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน  เพื่อดูแบบอย่างจากเพื่อน  เน้นการกระตุ้นให้เด็กบอกความต้องการของตนเอง  และครูควรใช้คำถามปลายเปิด

            ต่อมาอาจารย์ให้ทำกิจกรรม ศิลปะบำบัด โดยให้จับคู่  แจกกระดาษคู่ละ 1 แผ่น สีคนละ 1 แท่ง แล้วลากเส้นไปตามจังหวะเสียงเพลงและห้ามยกสีขึ้นจนกว่าเพลงจะจบ  หลังจากนั้นให้ช่วยกันระบายสีลงในช่องที่ถูกปิดตาย  ด้วยสีสรรค์ตามจินตนาการ  กิจกรรมนี้จะช่วยให้ครูผู้สอนรู้ว่าเด็กแต่ละคนนั้นมีภาวะความคิดเป็นแบบใด
ผลงานของฉัน

ผลงานของเพื่อนในห้อง

การนำไปประยุกต์ใช้
              สามารถนำเอาหลักการการส่งเสริมทักษะด้านภาษาของเด็กไปปรับใช้กับการสอนในอนาคตได้  เพื่อเรียนรู้ว่าเด็กพิเศษและเด็กปกตินั้น  ควรส่งเสริมทางด้านภาษาในรูปแบบใด  และยังสามารถนำเอากิจกรรมศิลปะบำบัดที่อาจารย์ให้ทำไปใช้กับเด็กได้จริง  เพื่อให้รู้ว่าเด็กแต่ละคนมีนิสัยแบบไหน

บรรยากาศภายในห้องเรียน


การประเมิน
            ตนเอง : แต่งกายสุภาพ  เข้าเรียนตรงเวลา  ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน  และจดบันทึกตาม
            เพื่อน : ตั้งใจฟังอาจารย์  ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมดี  มีคุยกัยเสียงดังบ้าง พูดคุยตอบโต้กับอาจารย์ดี
            อาจารย์ : เข้าสอนตรงเวลา  แต่งกายเรียบร้อย  อธิบายเนื้อหาได้อย่างเข้าใจชัดเจน  ยกตัวอย่างสถานการณ์จริง  เพื่อความเข้าใจและสอนหลักในการแก้ปัญหาหากพบเจอสถานการณ์นั้นๆ

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทิน ครั้งที่ 8

บันทึกผลการเรียนรู้ประจำสัปดาห์
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
วันที่ 5 มีนาคม 2558 เวลา 13.10 - 16.40 น.
กิจกรรม / ความรู้ที่ได้รับ
               กิจกรรมก่อนเข้าสู่บทเรียนวันนี้อาจารย์แจกถุงมือให้นักศึกษาคนละ 1 ข้าง แล้วให้ใส่ไว้ในข้างที่ตนไม่ถนัด  จากนั้นให้ใช้มือข้างที่ถนัดวาดรูปมือข้างที่ใส่ถุงมืออยู่  โดยห้ามถอดถุงมือออกมาดูและต้องวาดรายละเอียดของมือนั้นให้เหมือนที่สุด
               สิ่งที่ได้จากกิจกรรมนี้ คือ การรู้จักสังเกต  เปรียบเสมือนการสังเกตเด็กที่ต้องมีจดบันทึกการสังเกตนั้นตลอดเวลา  ไม่ควรสังเกตแล้วจำเพียงอย่างเดียว  เพราะเมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ เราก็จะลืมสิ่งที่สังเกต  และไม่สามารถบันทึกได้อย่างชัดเจน
 ภาพจริง
ภาพวาด

เรื่องที่เรียนในวันนี้ คือ  การสอนเด็กพิเศษและเด็กปกติ

         การเข้าใจภาวะปกติ  ว่าเด็กมักมีคล้ายกันมากกว่าแตกต่างกัน  ต้องรู้จักเด็ก  และมองเด็กทุกคนให้เป็นเด็ก

         การคัดแยกเด็กที่มีพัฒนาการช้า  เข้าใจพัฒนาการของเด็ก  เพื่อช่วยให้ครูสามารถมองเห็นความแตกต่างของเด็กแต่ละคน

         ความพร้อมของเด็ก  
              - วุฒิภาวะ  เด็กที่อายุใกล้เคียงกัน  จะมีวุฒิภาวะที่ไม่ค่อยแตกต่างกัน
              - แรงจูงใจ  ของเด็กแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
              - โอกาส  เด็กทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน รวมทั้งเด็กพิเศษด้วย
  
         การสอนโดยบังเอิญ  เป็นการสอนที่เด็กจะเป็นฝ่ายเข้าหาครู  เด็กจะค้นพบปัญหาด้วยตนเอง  และครูมีหน้าที่คอยให้คำแนะนำ ชี้แนะ

          อุปกรณ์  เด็กพิเศษจะเรียนรู้จากการสังเกตและเลียนแบบเด็กปกติ  และเด็กปกติจะเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือเด็กพิเศษ  ของเล่นของเด็กควรเป็นของเล่นที่มีลักษณะไม่ตายตัว เช่น บล็อก ดินน้ำมัน เป็นต้น

          ตารางประจำวัน  เด็กพิเศษจะไม่สามารถยอมรับการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ทำเป็นประจำได้  ตารางควรเรียงเป็นลำดับ  ทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัย  ในแต่ละวันควรมีตารางประจำวันที่เหมือนกัน  เพื่อให้เด็กรู้ว่าในแต่ละวันนั้นเขาจะได้เรียนอะไรบ้าง  เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการมาโรงเรียนของเด็ก  โดยเฉพาะเด็กออทิสติก  ซึ่งกิจกรรมที่จัดในแต่ละวันมักเป็น 6 กิจกรรมหลัก ดังนี้
              1.กิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ
              2.กิจกรรมเสริมประสบการณ์
              3.กิจกรรมศิลปะ
              4.กิจกรรมกลางแจ้ง
              5.กิจกรรมการเล่นตามมุม
              6.กิจกรรมเกมการศึกษา

           ความยืดหยุ่น  คือ สามารถแก้แผนการสอนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้  ยอมรับความสามารถของเด็ก  

           การใช้สหวิทยาการ  การสร้างความสัมพันธ์ของการสอนกิจกรรมหลักให้ควบคู่กับกิจกรรมการบำบัดในห้องเรียน

           เทคนิคการให้แรงเสริม  เป็นการตอบสนองด้วยวาจา  พยักหน้ารับ  สัมผัสทางกาย  และการให้ความช่วยเหลือ  

           การแนะนำหรือบอกบทของครู  ฺฺโดยการย่อยงาน  จัดลำดับความยากง่ายของงาน เพื่อเป็นแรงเสริมให้เด็กค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความสำเร็จ

           การสอนแบบก้าวไปข้างหน้า หรือการสอนย้อนมาจากข้างหลัง  ซึ่งควรสอนทั้ง 2 แบบ ควบคู่กันไป

           การลดหรือหยุดแรงเสริม  งดการให้แรงเสริมกับเด็กที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม  เอาอุปกรณ์หรือของเล่นออกจากเด็ก  ภายในห้องควรจัดให้มีมุมลงโทษเด็กดื้อ  และลงโทษเด็กตามอายุที่เหมาะสม
การนำไปประยุกต์ใช้
            สามารถนำเอาหลักการสอนเด็กพิเศษและเด็กปกติที่ได้เรียนนี้ไปปรับใช้ในอนาคตได้  ได้รู้ว่าควรจัดการสอนแบบใดให้แก่เด็ก  ควรให้แรงแสริมและลงโทษเด็กอย่างไร  ควรทำอย่างไรให้เด็กปกติและเด็กพิเศษสามารถเรียนด้วยกันได้  และยังได้รู้ว่าเราควรสังเกตเด็กและจดบันทึกการสังเกตนั้นอย่างสม่ำเสมอ  เพื่อให้ทราบถึงพฤติกรรมของเด็กแต่ละคน  และเพื่อรายงานพฤติกรรมนั้นๆแก่ผู้ปกครองของเด็ก

บรรยากาศภายในห้องเรียน
การประเมิน
          ตนเอง : เข้าเรียนตรงเวลา แต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียน จดบันทึกตาม
           เพื่อน : ตั้งใจเรียน ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรม คุยกันเสียงดังบ้างเล็กน้อย กล้าซักถาม
          อาจารย์ : อธิบายเนื้อหาได้อย่างเข้าใจชัดเจน  สอนสนุก  ยกตัวอย่างสถานการณ์จริงเพื่อให้นักศึกษาเข้าใจยิ่งขึ้น เวลาเรียนเหมือนเป็นการนั่งฟังอาจารย์เล่าเรื่องเลยทำให้เข้าใจเนื้อหาที่เรียนค่ะ